Biography

(2000) จุดเริ่มต้นของชายชื่อ
กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์

" เห้ย!!! มันเท่ห์ดีนะ โกล์ ก็ โกล์วะ "

หากถามว่ากีฬาใดที่เด็กผู้ชายส่วนใหญ่จะเล่น แน่นอนอยู่แล้วว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีกีฬาที่ชื่อว่า "ฟุตบอล" อย่างแน่นอน ผมคือหนึ่งในเด็กเหล่านั้น มีความทรงจำแรกเกี่ยวกับฟุตบอลคือการได้ตามญาติไปที่สนาม ลูกฟุตบอลอยู่ตรงไหนก็วิ่งตามกันไป ไม่ได้มีทักษะที่โดดเด่นแต่อย่างใด ดูเหมือนคนอื่นๆจะเก่งกว่าด้วยซ้ำ...

วันนึงเหตุการณ์ที่ผมจำได้ขึ้นใจเลย ผมเตะฟุตบอลเล่นอยู่กับญาติของผม และก็มีการผลัดกันยิงฟุตบอล และผลัดกันป้องกัน และในคราวที่ผมต้องไปเป็นคนป้องกันประตู ญาติผมยิงฟุตบอลผ่านระหว่างขาของผม พูดง่ายๆคือ โดน "รอดดาก" แต่ทันใดนั้นจะด้วยความบังเอิญ สัญชาตญาณ หรือ พระเจ้ากำหนดมาก็ไม่รู้แหละ ร่างกายผมดันล้มตัวพลิกกลับไปรับบอลได้เฉยเลย ทำเอาญาติที่เป็นคนเตะฟุตบอลมานั้นอึ้งไปเลย

หลังจากการเล่นวันนั้น เรา2คนเดินกลับบ้าน มานั่งกินข้าวกับแม่ของผมและญาติๆ เพื่อนก็ได้เล่าเหตุการณ์นั้นให้ทุกคนฟัง ผมจำได้เลยว่าทุกคนเฮฮากันใหญ่ และก็เชียร์ให้ผมเป็น Goalkeeper ให้ได้ ถามว่าตอนนั้นรู้จักมั้ยว่าอะไรคือ Goalkeeper ตอบเลยว่า "ไม่" แต่มีชื่อนักฟุตบอลคนนึงผุดขึ้นมาในวงสนทนานั้น คือ
" OLIVER KAHN " ที่เค้าว่ากันว่า คือสุดยอด GOALKEEPER กัปตันทีมชาติเยอรมัน

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมา และมายืนอยู่ที่หน้ากระจก ในใจก็คิดว่า ผู้รักษาประตูต้องมีอะไรบ้าง ผมไปหยิบเสื้อแขนยาวมาใส่ กางเกงฟุตบอล ถุงเท้ายาว รองเท้าผ้าไบ แต่เห้ย!!! ไม่มีถุงมือโกล์นี่หว่า พอดีหน้าบ้านมีตลาดนัด ผมเลยหยิบเงินเดินออกไป ได้ถุงมือก่อสร้างมา 1 คู่ วิ่งกลับเข้ามาหน้ากระจกด้วยความตื่นเต้น สวมถุงมือ และลองขยับๆดูหน้ากระจก และก็บอกกับตัวเองว่า " เห้ย!!! มันเท่ห์ดีนะ โกล์ ก็ โกล์วะ " หลังจากนั้นมา ถุงมือผู้รักษาประตู ก็ไม่เคยห่างผมอีกเลย

(2002) รับใช้ชาติในฐานะเยาวชน

“ของในกระเป๋า จากพวกอุปกรณ์การเรียน เปลี่ยนกลายเป็นชุดฟุตบอล รองเท้า และที่ลืมไม่ได้ "ถุงมือผู้รักษาประตู"

หลังจากที่อุปกรณ์ในการเป็นผู้รักษาประตูพร้อม ก็เริ่มที่จะฝึกอย่างจริงจังในตำแหน่งนี้ ล้มลุกคลุกคลาน รู้สึกถึงความมันส์ในการได้พุ่งสไลด์ไปกับพื้นหญ้า รู้จักการเล่นผู้รักษาประตูได้ไม่นาน ก็มีการเปิดคัดเยาวชนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน12 ปี (ตอนนั้นผมอายุ 11ปี) ที่จะไปแข่งที่สวีเดน ผลจากการที่พึ่งจะเริ่มหัดเล่นได้ไม่นาน ก็ทำให้การคัดตัวครั้งนั้น ผิดหวังไปในรอบสุดท้าย ตอนนั้นจำได้เลยว่าตอนประกาศรายชื่อ ต้องดูในหนังสือพิมพ์ และพอไม่เห็นชื่อตัวเองอยู่ในนั้น ก็น้ำตาตก😅 แต่ก็ไม่ได้จมอยู่กับความเสียใจในคราวนั้น ลุกขึ้นเดินหน้าฝึกซ้อมพัฒนาตัวเองต่อ จนมาในเช้าวันนึง แม่กำลังจะพาผมไปสมัครเรียนพิเศษที่มีชื่อว่า "คุมอง" (คนที่รู้จัก ก็จะมีอายุ30ขึ้นแล้วนะครับ🤣 ) อยู่ดีๆโทรศัพท์ของแม่ก็ดังขึ้น เสียงแม่อุทานมาว่า ลุงอู๊ดโทรมา (ลุงอู๊ดคือน้องเขยแม่) ว่ามีเปิดคัดฟุตบอลเยาวชนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน12ปี จะไปแข่งที่ไซตามะ

แม่ : ฮัลโหล
ลุงอู๊ด : ป้าติ๋ม (แม่ผมเอง) มีเปิดคัดเยาวชนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 12ปี จะไปแข่งที่ไซตามะ
แม่ : หรอ แล้วที่ไหนล่ะ ?
ลุงอู๊ด : สนามฟุตบอลมีนสุวรรณตรงแยกเหม่งจ๋าย แม่ : มันคือที่ไหนเนี่ย โอเคๆ ได้ๆ ขอบคุณมาก

พอวางสายจากน้องเขย แม่ผมถามว่า จะไปคัดฟุตบอลหรือจะไปเรียน (เอาจริงๆ ผมก็ได้ยินที่เค้า2คนคุยกันแล้วหละ🤭) และคิดว่าผมจะตอบว่าอะไรล่ะ ก็ไปคัดฟุตบอลสิครับ555 ผมเลยรีบเปลี่ยนของในกระเป๋าออกอย่างไว จากพวกอุปกรณ์การเรียน กลายเป็นชุดฟุตบอล รองเท้า และที่ลืมไม่ได้ "ถุงมือผู้รักษาประตู"

พอไปถึงที่สนาม ผมกับแม่ตกใจมาก เพราะมีเด็กรุ่นราวเดียวกันมาเกือบ700คน บ้างก็มาจากสถาบันเดียวกัน บ้างก็มาจากคนละที่ ผมเนี่ยแหละฉายเดี่ยวจากโรงเรียนตรีมิตรวิทยา การคัดเลือกใช้เวลาเสาร์-อาทิตย์ เป็นเวลาสามเดือน รวมการเก็บตัวฝึกซ้อมในรอบสุดท้าย จนถึงวินาทีที่ต้องประกาศรายชื่อ 20 คนสุดท้ายที่จะได้เป็นเยาวชนทีมชาติไทย ร่างกายผมแสดงถึงอาการตื่นเต้นได้อย่างชัดเจน จากการที่ตัวเย็น แต่มือชุ่มไปด้วยเหงื่อ วินาทีนั้นผมหลับตา กลั้นหายใจ เหมือนเวลาหยุดไปชั่วขณะ ทันใดนั้นเองชื่อ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ก็ทะลุเข้ามาในหู ผมโค-ตะระดีใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงอาการมาก เพราะเพื่อนที่ผิดหวังก็ยืนอยู่ข้างๆผม ทั้งที่จริงๆข้างในคือดีใจจนรู้สึกแน่นในอก😅

พอได้มาเจอแม่กับพ่อเท่านั้นแหละ ร้องไห้ดีใจกันใหญ่ ทุกคนต่างยินดี และตื่นเต้นไปกับความสำเร็จแรกของผม ในการที่ติดเยาวชนทีมชาติไทยครั้งแรก และกำลังจะได้ไปแข่งต่างประเทศอีกด้วย นับเป็นการรับใช้ชาติครั้งเเรกในนามทีมชาติไทย

(2008) ก้าวเข้าสู่ฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัว

ผมเคยถามกับตัวเองหน้ากระจกตอนซ้อมเสร็จ "ไอตอง มึงจะซ้อมหนักขนาดนี้ไปทำไมวะเนี่ย" ผมไม่ได้ตอบตัวเองในตอนนั้น เเต่ตั้งแต่วันนั้นมา
ผมไม่เคยแพ้ใครอีกเลย

หลังกลับมาจากการแข่งขันเยาวชนทีมชาติไทย อายุ12 ปีจากประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ที่ได้ยื่นข้อเสนอและติดต่อผมให้ไปเรียนในโควต้านักกีฬาช้างเผือก ซึ่งจะได้เรียนโดยที่ทางครอบครัวไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว ทั้งค่าเรียน ค่าชุด ค่าอาหาร ค่าที่พัก พูดง่ายๆคือ ใส่กางเกงในตัวเดียว ไปอยู่ได้เลย ตั้งแต่นั้นมาก็จะต้องอยู่ที่หอพักในโรงเรียน
กิจวัตรในทุกวันคือ ตื่น05.30 ซ้อมถึง 07.15 และไปเรียนหนังสือ พอเลิกเรียนก็ไปซ้อมเวลา 16.30 -18.00 ได้เข้าสู่ระบบฟุตบอลนักเรียนอย่างจริงจังเเละเข้าร่วมแข่งตามโปรแกรมของฟุตบอล

จนมาถึงวันที่มีการคัดเยาวชน 13ปีทีมชาติไทยในการแข่งชิงแชมป์อาเซียน สุดท้ายผมคือหนึ่งในนักเตะของทีมชาติชุดนั้น ซึ่งก่อนที่จะเข้าการแข่งขัน ผมคิดว่า ผมจะได้ลงเป็น11ผู้เล่นตัวจริง แต่พอถึงวันแข่งขัน ปรากฏว่า " No " !!ไม่ใช่เราที่ได้ลงไปโลดแล่นอยู่ในการแข่งขัน ผมจบทัวร์นาเมนต์นั้นด้วยความผิดหวัง

ตั้งเเต่นั้นมาการซ้อมของผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นับครั้งได้ที่ผมจะไปกินข้าวเย็นพร้อมเพื่อน ทุกวันหลังจากที่ทีมเลิกซ้อมตอน 18.00 ผมจะขอโค้ชให้ช่วยฝึกให้ผมต่อ จนเกือบหนึ่งทุ่ม และจะฝากให้เพื่อนในทีมเอาข้าวกล่องจากโรงอาหารมาให้ (ถ้าเพื่อนลืมก็ซวยไป🤣 ) โชคดีที่บ้านผมอยู่ใกล้โรงเรียน แม่กับพ่อก็จะเตรียมอาหารมาเสริมเพิ่มเติมให้แทบทุกวัน ช่วงปิดเทอมทุกคนกลับบ้านกันหมด แต่ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้กับโรงเรียน ทุกบ่ายผมจะนั่งรถกะป๊อสีแดงมาที่โรงเรียน เพื่อจะมาว่ายน้ำที่สระเพราะหวังว่าจะช่วยเพิ่มความสูง (จากหนังสือที่แม่เคยอ่าน) และรอซ้อมเย็นกับโค้ชผู้รักษาประตูต่อในช่วงเย็น นั่นคือกิจวัตรของผมตลอด ม1. - ม6 ที่อัสสัมชัญธนบุรี ผมเคยถามกับตัวเองหน้ากระจกตอนซ้อมเสร็จอยู่เหมือนกันนะ ว่า " ไอตอง มึงจะซ้อมหนักขนาดนี้ไปทำไมวะเนี่ย" ผมไม่ได้ตอบตัวเองในตอนนั้น ตั้งแต่วันนั้นมา ผมไม่เคยแพ้ใครอีกเลย

หลังจากที่เติบโตกับฟุตบอลนักเรียนในสังกัดของ รร.อัสสัมชัญธนบุรี ผ่านการฝึกซ้อมอย่างเข้มข้นทั้งกับทีมและฝึกพิเศษ เล่นฟุตบอลในทุกถ้วยการแข่งขัน คว้าแชมป์กับโรงเรียน และติดเยาวชนทีมชาติไทยในทุกๆช่วงอายุตั้งแต่ 12 ,14, 16, 18 ปี ทันทีที่จบมัธยม6 สโมสรแรกที่เล่นคือ " สโมสรราชประชา " อยู่ที่ราชประชา1ฤดูกาล คว้าแชมป์ และได้ย้ายมาที่ "เมืองทอง ยูไนเต็ด" ซึ่งในขณะนั้นอยู่ดิวิชั่น1 เป็นทีมน้องใหม่ ที่มีเป้าหมายว่าจะขึ้นไทยพรีเมียร์ลีกให้ได้

ณ ตอนนั้นผมจำได้ว่า วันที่ต้องไปเมืองทองครั้งแรก ยอมรับตรงๆว่า ไม่รู้ว่าคือที่ไหน รู้แค่ว่าอยู่นนทบุรี ชอบจัดงานแสดงหุ่นยนต์ ผมเดินทางไปกับแม่ นั่งรถสองแถวจากปากซอยบ้าน ไปลงท่าน้ำศิริราชเพื่อนั่งเรือข้ามฟากไปลงที่ปากเกร็ด และก็นั่งรถตู้เข้าไปหน้าเมืองทองและต่อแท๊กซี่เข้าไป พอไปถึงสนาม ผมกับแม่ก็เดินเข้าไปในสนามแบบงงๆ ได้เจอกับกลุ่มนักเตะที่เราไม่รู้จักเลย รวมไปถึงเจอโค้ช ด้วยความเป็นเด็กใหม่ผมก็เข้าไปทักทายกับทุกๆคน และเจอคำถามนึงว่า "ไม่มีทีมเล่นหรอ" วันที่ผมเข้าไปนั้น ผมเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดในทีม (18ปี) บวกกับทางทีมได้เตรียมตัวซ้อมกันมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว และกำลังจะเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์ในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ผมซึ่งเป็นผู้เข้ามาใหม่ต้องรีบปรับตัว และแสดงศักยภาพของตัวเองออกมา เพื่อให้ได้ลงเล่น จนผ่านไปวันแล้ววันเล่า สิ่งที่เราอดทนตั้งใจฝึกซ้อมมาตลอดทำให้ผมสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมได้ทันที ผมได้รับการยอมรับจากโค้ชและเพื่อนร่วมทีมได้ไม่ยาก ฤดูกาลนั้นจบด้วยการที่ทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ สามารถก้าวขึ้นสู่ลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของสโมสร และยิ่งไปกว่านั้น ผมคือ
" Player Of The Year "

(2009) เถลิงบัลลังก์แชมป์ไทยลีก

“ การทำงานที่หนัก บวกกับทีมที่ลงตัวอย่างดี ทุกคนต่อสู้ฝ่าฟันจนจบฤดูกาลนั้น ผลที่ได้กลับมาคือ การเฉลิมฉลอง
อย่างยิ่งใหญ่ ”

จากเด็กพึ่งจบมัธยม ก้าวเข้าสู่ฟุตบอลอาชีพเริ่มมีรายได้จากฟุตบอล ในหัวตอนนั้นคิดแค่อยากจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆด้าน เพราะการที่ทีม เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้ขึ้นมาเล่นในเวทีสูงสุดของประเทศ ถือว่าเป็นน้องใหม่ ที่ต้องเจอกับเสือ สิงห์ กระทิง แรด มากมาย การแข่งขันก็สูงขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากการแข่งแข่งขันกับทีมอื่นๆเเล้ว การแข่งขันภายในทีมก็สูงขึ้นเช่นกัน ทีมมีการเสริมตัวผู้เล่นเข้ามาในทุกๆตำแหน่ง ผมจำเป็นที่จะต้องเก่งและแข็งแกร่งขึ้น เพื่อตำแหน่งตัวจริง

ผมยังคงใช้สูตรเดิมของผมคือทั้งซ้อมกับทีมและซ้อมพิเศษ ผมเลือกศึกษาต่อมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้กดดันมากในเรื่องของการเรียน ทำให้ผมได้มีสมาธิในการพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ ใส่เกียร์เดินหน้าเต็มกำลังกับฟุตบอล ตรงหลังเวทีของสนามThunderdome เป็นที่แสดงคอนเสิร์ต และจะมีห้องพักเล็กๆติดกันอยู่หลายห้อง โชคดีที่ทางเมืองทองอนุญาติให้ผมนอนที่นั่นได้ เพื่อจะไม่ต้องเดินทางไกล ผมตื่นเช้ามาซ้อมเองแทบทุกวัน สิ่งไหนที่ผมอยากจะพัฒนาให้ดีขึ้นผมทำหมด และช่วงเย็นก็ต่อด้วยโปรแกรมกับทีม การทำงานหนักไม่ทำให้ผมผิดหวัง เช่นเคย ผมลงเล่นให้กับเมืองทองในทุกนัด พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุด พร้อมกับตำเเหน่ง
" The Best Goalkeeper Of The Year "

(2010) จุดกำเนิด "กวินทร์บินได้"

“วินาทีนั้น !ประสบการณ์และสัญชาตญาณของผมมันบอกให้พุ่งไปทางขวามือของตัวเอง และ ตู้ม!!!!! สองมือของผมพุ่งเข้าหาบอลอย่างจัง ผมลุกขึ้นมาตะโกนลั่นด้วยความดีใจ “

การได้แชมป์ลีกสูงสุดตั้งแต่ปีแรกที่ขึ้นมา ทำให้ทีมเมืองทองกลายเป็นทีมที่น่าจับตามอง และนักเตะในทีมหลายคนถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง ชื่อของผม เริ่มปรากฎให้คนที่อยู่ในวงการฟุตบอลอาชีพจับตากันมากขึ้น เมืองทอง ยูไนเต็ด ยังคงเดินเครื่องล่าความสำเร็จกับฟุตบอลในประเทศอย่างต่อเนื่อง จากการที่ได้แชมป์ฟุตบอลลีกในประเทศ ทำให้มีความท้าทายใหม่ที่เข้ามาคือ การที่ทีมได้ไปเล่นฟุตบอลในระดับเอเชียเป็นครั้งแรกของสโมสร เป็นสิ่งแปลกใหม่ก็จริง แต่เมืองทองก็ยังสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ในรอบแรก จนไปเจอกระดูกชิ้นใหญ่จากกาตาร์ เป็นเกมส์ที่เมืองทองต้องออกไปเล่นที่นั่น และจากสถิติในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทีมจากประเทศไทย ไม่เคยบุกไปคว้าชัยชนะจากประเทศแดนตะวันออกกลางได้เลย

การเเข่งขันฟุตบอล AFC CUP เดินทางมาถึงรอบ16ทีมสุดท้าย สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด จะต้องเดินทางไปเยือน อัล อารายาน ของประเทศกาตาร์
เกมส์ในวันนั้นค่อนข้างที่จะสูสี จบ90นาที เสมอกันที่ 1 - 1 บรรยากาศค่อนข้างกดดันอย่างมาก ผมโดนเลเซอร์สีเขียวจากฝั่งของแฟนบอลเจ้าบ้าน ยิงมาที่หน้าและตาอยู่ตลอด ผมใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่น้อยนิด ก่อนจะดวลลูกจุดโทษนั้น รวบรวมสมาธิให้ได้มากที่สุดและแล้วช่วงเวลาที่รอคอยก็มาถึง คนที่4ของทีมจากกาตาร์ นักเตะเบอร์ 17 หยิบลูกฟุตบอลมาตั้งพร้อมที่จะยิง ตาของผมจ้องที่เขม็งไปที่คนยิง จังหวะที่เค้าเข้ามา มีการดึงจังหวะหลอกหนึ่งจังหวะ หวังว่าจะให้ผมเสียการทรงตัว แต่ในเวลานั้นด้วยสัญชาตญาณของผมมันบอกว่า ให้พุ่งไปขวามือของตัวเอง และก็ "ตู้ม!!!" มือของผมพุ่งไปสัมผัสบอลได้อย่างจัง ผมลุกขึ้นมาชูมือตะโกนดีใจอย่างสุดเสียง พร้อมกับมองไปที่เพื่อนร่วมทีม บอกเป็นนัยๆว่า "ลูกต่อไปยิงให้เข้านะเว้ย!!"

จากความได้เปรียบในการรับลูกจุดโทษลูกนั้น จบเกมส์ชัยชนะตกเป็นของทีมเมืองทอง เป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของฟุตบอลไทย พร้อมกับในโลก Internet ที่ปรากฏกระทู้ใน pantip ที่จั่วหัวข้อความว่า

" กวินทร์บินได้ "

(2010) เข้าสู่ทำเนียบทีมชาติไทย

“สิ่งที่โค้ชพูดกับผมตอนนั้น มันเป็นเพียงแค่ไม่กี่ประโยค แต่ทำผมรู้สึกแน่นในอกด้วยความดีใจ พร้อมกับถามโค้ชกลับไปว่า " Really!!! " โค้ชยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ...”

เป้าหมายสูงสุดของนักฟุตบอลทุกคนคือ การก้าวขึ้นไปติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ นั่นหมายถึง เกียรติยศ ชื่อเสียง และบ่งบอกให้รู้ว่าเราคือที่สุดของประเทศ ..... ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ประโยคนี้ถ้าใช้ให้ถูกหลักอย่างมีสติ จะทำให้พบเจอกับสิ่งที่ปราถนาได้อย่างแน่นอน จากความพยายามอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ผมก้าวติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ครั้งแรก ในปี2010 ตอนนั้นอายุ 19ปี เกมส์แรกที่ได้ลงเล่นคือ อุ่นเครื่องกับ " สโมสรลิเวอร์พูล " เป็นการเริ่มนับหนึ่งกับทีมชาติไทยชุดใหญ่ หลังจากนั้นก็ผ่านการแข่งขันในนามทีมชาติ ในทัวร์นาเมนต์ต่างๆกับทีมชาติไทยมาจนถึงปัจจุบัน

มีครั้งหนึ่งที่ทีมจากแดนสยามมีโปรแกรมที่จะต้องเดินทางไปเยือนกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ถ้าเป็นแฟนฟุตบอลจะรู้ดีว่า การไปเยือนดินแดนอาหรับในครั้งนี้ เป็นงานที่โคตรหินของทีมชาติไทย ยิ่งกว่าเข็นสิบครกขึ้นภูเขา การเดินทางค่อนข้างที่จะทุลักทุเลซักหน่อย เนื่องจากต้องไปต่อเครื่องและรอเครื่องนาน พอถึงอิหร่านก็ต้องนั่งรถบัสต่อไปรร.อีกหลายชั่วโมง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะยังมีเวลาในการพักฟื้นร่างกายก่อนแข่งประมาณสามวัน วันเวลาผ่านไป ยิ่งใกล้วันแข่งความรู้สึกกดดันก็ค่อยๆเข้ามาในจิตใจ นอกจากซ้อมฟุตบอลและศึกษาทีมคู่แข่งแล้วนั้น ตอนนั้นพี่ใหม่(รูมเมตของผม) ก็จะเปิดดูซีรีย์กันเพื่อผ่อนคลาย🤣

หลังจากซ้อมเสร็จในวันสุดท้ายก่อนการแข่งขัน โค้ช ไบรอัน ร๊อบสัน ที่ในขณะนั้นเป็นกุนซือของทีมชาติไทย บอกว่าผมจะได้ลงในแมชต์ชี้ชะตาในวันพรุ่งนี้ ให้เตรียมตัวให้ดี ตอนนั้นผมรู้สึกดีใจมากที่โค้ชเชื่อใจเรา แต่ก็มีความหวิวๆท้องแทรกเข้ามาด้วย😅 คืนก่อนเกมส์ผมจำได้ว่า ผมนั่งหลับตาเกือบชั่วโมงเพื่อนึกภาพถึงเกมส์การแข่งขัน ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เพื่อเตรียมพร้อมจิตใจให้ดีที่สุด วันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาด้วย สภาพร่างกายที่พร้อม พยายามควบคุมจิตใจและความรู้สึกให้นิ่งมากที่สุด ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก พยายามคุยกับคนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนออกจากโรงแรมก็โทรคุยกับแม่และพ่อผ่านเสียงตามสายทางโทรศัพท์ เป็นกำลังใจที่ดีที่สุด หลังจากนั้นก็โฟกัสเต็มที่กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

บรรยากาศในสนามวันนั้นค่อนข้างที่จะเร้าอารมย์เหลือเกิน มองขึ้นไปบนอัฒจรรย์เห็นแต่ ชุดประจำชาติรวมไปถึงเสื้อแข่งของทีมเจ้าบ้าน สีขาวโพลนไปหมด เสียงนกหวีดดังขึ้นเป็นสัญญาณของการเริ่มการแข่งขัน ทุกครั้งที่เจ้าบ้านได้บอลพร้อมที่จะทำเกมส์รุกใส่ทีมชาติไทย เสียงตะโกนของกองเชียร์เจ้าบ้าน บวกกับเสียงผิวปากวี้ดๆ ปั่นโสตประสาทได้ดีเหลือเกิน ทีมชาติไทยพยายามเล่นรัดกุมที่สุดและหาจังหวะที่จะโต้กลับ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าบ้าน ทำให้ลูกฟุตบอลส่วนใหญ่จะอยู่ที่ครึ่งสนามฝั่งของทีมชาติไทย สภาพอากาศวันนั้นค่อนข้างที่จะดี ไม่ร้อนมาก ไม่มีฝนตกแต่อย่างใด แต่ในสนามเกมส์บุกของเจ้าบ้านที่มาราวกับพายุกำลังถล่มทีมชาติไทยอย่างหนัก เกมส์รับของพวกเราพยายามต้านกันอย่างหนัก ทุกคนช่วยกันอย่างเต็มที่ ผมในฐานะคนสุดท้ายในการกำหนดชะตากรรมเกมส์รับของทีมชาติไทย ก็ปัดป้องลูกฟุตบอลไม่ให้ข้ามเส้นประตูอย่างเต็มกำลัง มีจังหวะนึงที่คนอิหร่านทั้งสนามโห่ร้องด้วยความเสียดาย จากจังหวะเตะมุมของทีมชาติอิหร่าน บอลโค้งเข้าหัวนักเตะอย่างจัง ด้วยระยะที่ใกล้และโมเมนต์ตั้มของลูกบอลที่พุ่งเข้าหาประตู ใครเห็นก็คิดว่า อิหร่านขึ้นนำแน่ๆ กลับโดนปฏิเสธจากมือของผมเอง เล่นเอานักเตะทีมอิหร่านยกมือขึ้นมากุมหัวกันเป็นแถว ซึ่งจังหวะนั้นยอมรับเลยว่า ผมยังไม่อยากเชื่อตัวเองว่าผมปัดลูกนั้นได้ยังไง เกมส์ดำเนินมาถึงนาทีที่90+2ก่อนหมดเวลาเพียงแค่2นาที บอลที่ถูกcross มาจากด้านข้าง ตรงเข้ามาที่หัวของฝั่งเจ้าบ้านโหม่งเต็มแรงไม่พอ ลูกบอลเจ้ากรรมดันไปแฉลบหัวไหล่ของผู้เล่นทีมชาติไทย ในขณะที่ผมพยายามถีบตัวบินไปอย่างสุดแรง แต่วิถีของลูกบอลสูงเกินกว่าที่ปลายนิ้วผมจะเอื้อมถึง ทำให้เจ้าบ้านได้เฮทั้งสนาม เวลาไม่เหลือพอที่จะให้ทีมชาติไทยได้ตอบโต้กลับไปแล้ว เกมส์จบลงด้วยทีมชาติอิหร่าน ชนะ ไป1-0 ผมรู้สึกเสียดายมาก เพราะกำลังจะปิดจ๊อบงานของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่แล้วในเกมส์นี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่ได้สู้และโชว์ฟอร์มอย่างเต็มที่ ก็พอที่จะปลอบใจผมได้บ้าง

วันรุ่งขึ้นในขณะที่ทีมชาติไทยกำลังเดินทางกลับจากกรุงเตหะราน ตอนตรวจสัมภาระเพื่อจะเข้าไปที่ Gate เพื่อรอขึ้นเครื่องบิน เจ้าหน้าที่ของสนามบินเข้ามาถามผมว่า " Are you a goalkeeper ?" (สำเนียงอาหรับ) ผมตอบไปว่า " yes " หลังจากนั้นเค้าก็เรียกเพื่อนมาสองสามคนมาจับมือผมใหญ่555 เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ พี่โต นิพนธ์ (โค้ชผู้รักษาประตู) บอกว่าโค้ชไบรอัน อยากพูดอะไรบางอย่างกับผม ตอนนั้นผมมองหน้าพี่โต พร้อมกับสีหน้างงๆ และคิดในใจว่า จะพูดอะไรกับผมหว่าาา แต่ขาทั้ง2ข้างก็ก้าวเดินไปหาโค้ชไบรอัน สิ่งที่โค้ชพูดกับผมตอนนั้น มันเป็นเพียงแค่ไม่กี่ประโยค แต่ทำผมรู้สึกแน่นในอกด้วยความดีใจ พร้อมกับถามโค้ชไบรอันกลับไปว่า " Really?!! " โค้ชยิ้มพร้อมกับพยักหน้า

เค้าบอกผมในตอนนั้นว่า เค้าเห็นแววในตัวของผม และอยากจะพาให้ไปฝึกซ้อมกับทีมระดับโลกอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โค้ชไบรอัน เป็นฑูตประจำสโมสร เป็นระยะเวลาสองสัปดาห์

(2018-2022) ออกจาก Comfort zone ไปท้าทายตัวเองทั้งในเบลเยียม และ ญี่ปุ่น

เป้าหมายส่วนตัวที่ตั้งไว้มาตลอด ตั้งแต่เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพได้สักระยะหนึ่ง คือการไปเล่นฟุตบอลที่ยุโรป ตลอดระยะเวลา 4ปีกับการที่ได้ไปผจญภัย ค้าแข้งอยู่ต่างแดน ทั้งเบลเยียม และ ญี่ปุ่น ถือว่าเป็นประสบการณ์ของชีวิตมากๆ ที่เงินก็ไม่สามารถหาซื้อได้ การไปใช้ชีวิตคนเดียว อยู่ต่างประเทศ

สภาพอากาศ อาหาร วัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย ใช้ชีวิตทั้งในสนามและนอกสนาม การจัดการกับอารมณ์ และจิตใจของตัวเอง ทุกสิ่งเป็นตัวที่ทำให้ผมได้เติบโต และเข้าใจชีวิตมากขึ้น เเละวันนี้ผมพร้อมที่จะถ่ายทอดทั้งความรู้เเละประสบการณ์ให้กับรุ่นต่อไป รวมทั้งมองภาพรวมถึงการสร้างประโยชน์ต่อวงการฟุตบอล กีฬาที่ชื่อว่าเป็นที่รวมศรัทธาของความหวัง ความรับผิดชอบ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียว เเละความมีน้ำใจนักกีฬาของคนในสังคม

www.kawinacademy.com